ทางรอดในสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด

บรรยายธรรม เรื่อง ทางรอดในสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด รอบใหม่  โควิดระบาดรอบใหม่ หนักยิ่งขึ้น ควรเร่งระดม สวดรัตนสูตร ขจัดโรคร้ายพินาศไป เทศน์โดย อาจารย์พระมหาประนอม ธมฺมาลงฺกาโร เจ้าอาวาสวัดจากแดง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ

การป้องกันโรคในทางธรรม

การที่จะป้องกันโรค นอกจากใส่แมส ล้างมือ อยู่ระยะห่าง ก็จะมีอย่างอื่น เนื่องจากว่าทางพุทธศาสนาจะแก้ปัญหาโดยอาศัยแก้ที่เหตุ เหตุของโรคมาจากกรรม จิต อุตุ อาหาร


โรคที่เกิดจากกรรม

โรคที่เกิดจากกรรม คือ ชอบผิดศีล โรคนี้ก็ต้องแก้ด้วยกรรม คือ เปลี่ยนจากเคยทำบาปกรรมมาทำเป็น บุญกรรม ทำกุศลกรรม เช่น การรักษาศีล อันนี้ก็คือ โรคที่เกิดจากกรรมก็แก้ด้วยกุศลกรรม 


โรคที่เกิดจากจิต

โรคที่เกิดจากจิต เศรษฐกิจมันตกต่ำ เครียดจากโรคระบาด ไม่มีงานทำ เครียดเงินไม่มี เครียดสุขภาพไม่ดี เครียดตรงนี้ จะเอาอะไรไปรักษา ก็มีผู้กระทำโดยเฉพาะขันติธรรม เมตตาธรรม และพรหมวิหารทั้ง 4 โดยเฉพาะ เมตตาพรหมวิหาร กรุณาพรหมวิหารมุทิตาพรหมวิหาร อุเบกขาพรหมวิหาร ซึ่งใช้หลักธรรมเหล่านี้มีขันติเป็นพื้นฐาน พิจารณาตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปเป็นธรรมด แต่เมื่อพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแล้ว ก็มีปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง โดยเฉพาะอุเบกขาพรหมวิหาร ลักษณะของอุเบกขาพรหมวิหารจะแตกต่างจากเมตตา เมตตาเราก็จะแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข ปราศจากทุกข์และเวรภัย ปราศจากความทุกข์กายทุกข์ใจ ขอให้มีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด แผ่เมตตาให้ตนเอง แผ่เมตตาให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย อะพะยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย สุขีอัตตานังปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด นั่นก็เป็นการแผ่เมตตา 

ส่วนการแผ่อุเบกขานั้น จะแผ่ยังไง ก็คือ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นที่อาศัย ใครทำกรรมใดก็ได้กรรมนั้น ราทำดี เราก็ได้ผลกรรมดี ลักษณะอย่างนี้ ก็จะทำให้จิตใจของเราเนี่ยยอมรับสภาพตามความเป็นจริง อาการเครียดก็จะลดลง ฉะนั้นตั้งแต่แผ่เมตตา เมตตากับโทสะ หรือ อาการเครียดมันตรงกันข้ามกันอยู่แล้ว เมื่อได้อุเบกขา พรหมวิหาร คือ พิจารณาตามหลักกฎแห่งกรรม ใจของเราก็จะเป็นกลางมากขึ้น ความเครียดก็จะลดลง เพราะฉะนั้นก็คือโรคเกิดจากจิต ต้องรักษาจิต ด้วยขันติธรรมและเมตตาธรรม และก็พรหมวิหาร 


โรคเกิดจากอุตุ

โรคเกิดจากอุตุคืออากาศมันร้อนจัด แล้งจัดฝุ่นละออง 2.5 PM เต็มไปหมดเลย ทำยังไงดี ก็ต้องช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม คัดแยกขยะก่อนทิ้ง ทำความสะอาด ใช้เจลล้างมือ ถูสบู่ล้างมือ สวมใส่หน้ากากอนามัยก็คือ เรียกว่าสิ่งแวดล้อมเนี่ยต้องดูแลอย่างดี ถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดี สภาพรอบ ๆ ตัวเราเนี่ยแหละ ถ้ามันสกปรกโรคที่จะเกิดจากอุตุ มันก็มาถึง แล้วในช่วงอากาศเย็นจัด โรคก็จะกระจายได้อย่างรวดเร็ว ถ้ามันร้อนจัด โรคก็ไปได้ช้าลงนะ หรือเชื้อโรคตายในแสงแดด หรือตายในความร้อน ทางแก้โรคที่เกิดจากอุตุก็คือ ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม ช่วยกันคัดแยกขยะ แล้วก็ขยันล้างมือ ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุด ถ้าเราทำได้ โรคที่เกิดจากอุตุคือ อากาศ ทีมันจะแพร่เชื้อโรคได้มันก็จะดีขึ้น


โรคเกิดจากอาหาร

โรคเกิดจากอาหาร ก็แก้ที่สมุฏฐานก่อน อาหารเป็นสาเหตุของเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น อาหารเนี่ยใส่สารเคมีเยอะ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ยาสารพัดเลยที่ใส่ลงไปนั่น ก็คือ สมุฏฐานของโรค เหตุของโรค เพราะฉะนั้นถ้าปลูกผักปลูกอาหารโดยปลอดสารพิษ เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์  พวกยาป้องกันศัตรูพืชยาไล่แมลง ก็เปลี่ยนมาใช้ที่เป็นสมุนไพร เพื่อให้ข้าวปลาอาหารมันปลอดสารพิษให้มากที่สุด โรคที่เกิดจากอาหารก็จะระงับดับหายไป 


แก้สมุฏฐานโรค

เหตุดังนั้นแล้ว การแก้ตามสมุฏฐานโรคอันเกิดจากกรรม ก็แก้ด้วยกุศลกรรม คือ รักษาศีล โรคอันเกิดจากจิตก็รักษาจิตให้เข้มแข็ง มีขันติเมตตา มีพรหมวิหาร โรคเกิดจากอุตุ ก็ช่วยกันดูแลความสะอาด มือไม้สะอาด สะอาดสิ่งแวดล้อม โรคอันเกิดจากอาหาร ก็พยายามปลูกพืชปลูกผักอย่าให้มีสารเคมี อย่าให้มียาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง อันนี้ ก็คือ แก้ตามสมุฏฐาน

หากแก้อย่างนี้ได้แล้วเนี่ย สมุฏฐานของโรคเราได้แก้แล้ว เราได้ตัดไฟแต่ต้นลมแล้วก็ดี ก็เรียกว่าแก้ตรงประเด็น อันนี้สำคัญมาก ๆ ยิ่งในช่วงภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ คนที่ปลูกพืชปลูกผัก ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี แล้วก็ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้สมุนไพรไล่แมลง ก็จะเป็นผู้บริโภคพืชผักที่ปลอดจากสารพิษ สุขภาพก็จะดี และที่สำคัญ คือ ฝึกปลูกเอง ยิ่งดี เราไม่ต้องมีเงินไปซื้อผักแพง ๆ ช่วยลดต้นทุนในเรื่องของการทำอาหาร และที่สำคัญ ในขณะที่ปลูกต้นไม้ในจิตใจของเราก็จะเยือกเย็น แล้วก็ได้ออกซิเจนจากต้นไม้ด้วย  ได้อาหารด้วย 

ในช่วงเศรษฐกิจที่มันกำลังทรุดอยู่ทั่วโลกเนี่ย ทำให้นึกถึงคำว่า “หนึ่งไม่มีสอง คือ อาหาร” ซึ่งเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสถาม สามเณรโสปากะ ว่า “เณรน้อย อะไรเอ่ย หนึ่งไม่มีสอง” สามเณรน้อยก็ตอบว่า “หนึ่งไม่มีสองได้แก่อาหารพระเจ้าค่ะ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสถามต่อไปว่า “ทำไมอาหารจึงเป็นหนึ่งไม่มี 2 ละเณรน้อย” เณรน้อยตอบว่า “สัตว์โลกทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหารพระเจ้าค่ะ” เมื่อเราหยิบเรื่องนี้มาพิจารณาว่าเราจะมีชีวิตอยู่รอดเนี่ย เรามีอาหารพอไหม กวฬิงการาหาร” หรืออาหารสามัญที่กลืนกินดูดซึมเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย นอจากนี้ก็มี ผัสสาหาร, มโนสัญเจตนาหาร, วิญญาณาหาร อาหาร 4 ชนิดนี้ [https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=212 ] ก็คือเป็นหนึ่งไม่มีสองรองใคร 

ดังนั้นเราจะรอดปลอดภัยเนี่ย เราก็นับหนึ่งดูก่อนว่า มีอาหารเพียงพอไหม อาหารปลอดสารพิษไหม อาหารอาจไม่ดี อาจไม่มีเงินซื้อ แต่มีข้าวกินนะ ไม่มีเงินแต่มีผักมีผลไม้ มีที่อยู่อาศัย มียารักษาโรค ซึ่งตอนนี้ยารักษาโรคเนี่ย ก็รอวัคซีนกัน มันก็แพง มาช้าด้วย แต่ตอนนี้เรามีสมุนไพรที่สู้กับไข้หวัดได้ สมอ มะขามป้อม มะนาว มะม่วงหาวมะนาวโห่ แล้วก็ขมิ้นชัน กระชาย กระเพรา เรียกว่า สมุนไพรที่สู้กับไข้หวัดโควิด-19 เนี่ยมันมีตั้ง 20 กว่าชนิด ในบ้านเรามีครบหมด สิ่งเหล่านี้มาปลูกเองได้ ไม่ต้องซื้อหา เพราะฉะนั้นเนี่ยปลูกสมุนไพรได้ทั้งอาหารได้ทั้งยา แล้วก็ที่สำคัญปลูกแล้วก็ขายได้เงินด้วย อีกทั้งความเครียดก็ลดลง เพราะได้อาหาร ได้ยารักษาโรคแล้วก็มั่นใจ เพราะกว่าวัคซีนจะมาเนี่ย ตอนนี้เรามีป้องกันไว้ก่อนแล้ว ก็คือ จากสมุนไพร 

ขอเชิญชวนญาติโยม ซึ่งรัฐบาลก็มีนโยบายพืชผักสวนครัวรั้วกินได้นะ หรือพืชเศรษฐกิจที่ทุกคนสามารถปลูกได้เลย ที่วัดก็ส่งเสริมส่งเสริม ทางวัดเองก็ยังได้แนะนำให้นำเศษอาหาร เศษผัก ทำปุ๋ยอินทรีย์ ตอนนี้ที่วัดก็มีจำนวนมหาศาลเลย และก็เชิญชวนญาติโยมที่ปลูกผักปลูกไม้ผลต่าง ๆ ทั้งผัก ทั้งไม้ผล ไม้ประดับ ทางวัดก็มีการแนะนำวิธีการปลูกให้ว่าจะปลูกยังไง มีทีมช่วยแนะนำสอนให้ แล้วก็ได้ทำแปลงสาธิตให้มาดูได้ 


ทางรอดในสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด

ในช่วง covid นี้ ทางรอดก็คือ เรื่องของอาหาร เรื่องของยา ซึ่งแม้ว่าเราไม่มีเงินที่จะไปซื้อยาทันสมัยอะไร แต่เราก็มีสมุนไพรคอยช่วย และตั้งรับ เรามีธรรมะรักษาใจ ทุกคนควรจะผ่อนคลายจากเศรษฐกิจที่มันกำลังตกต่ำ มันก็ตกทั่วโลก หากเคยฟังนิทานยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้ง มันชอบมาทะเลาะกัน ตรงบริเวณที่มันทะเลาะกันนั้นก็เปลี่ยนที่ราบเรียบเลย กลายเป็นที่มาของท่าเตียน ซึ่งยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ 2 ประเทศ จีนกับอเมริกาทะเลาะกัน เศรษฐกิจทั่วโลกก็เลยเตียนราบ ถ้ามองภาพนี้ออก เราก็จะเข้าใจในทันทีว่า เศรษฐกิจไม่ใช่มันตกเฉพาะประเทศไทย แต่มันตกทั่วโลก เพราะทั่วโลกกำลังซื้อถดถอย มีของขายแต่ไม่มีกำลังซื้อ แล้วทำยังไงล่ะ ถ้าคนที่ไม่รักษาจิต เจอกับเศรษฐกิจตกต่ำ จิตก็จะตกตาม เกิดความเครียด บ้างก็เครียด ทำลาย ฆ่าตัวตายก็มี

เหตุก็เพราะไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ลองพิจารณาดูสิ ชีวิตมีค่ามาก การจะได้เกิดเป็นคนมันยากเย็นแสนเข็ญ เมื่อเกิดมาด้วยความยากเย็นแสนเข็ญ สิ่งที่ต้องทำก็คือ ดูแลชีวิตนี้ให้ดีที่สุด อย่าให้เจ็บอย่าให้ป่วย อย่าให้ไข้ เจ็บป่วยไข้ก็ให้รีบรักษา แลอย่าทำร้ายชีวิตเด็ดขาด แล้วก็ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า ใช้หาเงินหาทองมาดูแลชีวิต ก็เรียกว่าดูแลชีวิตขั้นสูงสุด แต่ใช้ไปให้ทาน ใช้รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้าใช้ชีวิตนี้ไปให้ทานก็มีเสบียง ถ้าใช้รักษาศีลก็ได้ต้นทุนกลับคืนมา ถ้าใช้เจริญภาวนาก็ได้กำไรชีวิต

ชีวิตนี้เกิดมาทั้งทีต้องดูแลชีวิตให้ดีที่สุด เจ็บป่วยรักษาให้ดีที่สุด แล้วก็ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนี้ ก็อย่าเห็นคุณค่าของทรัพย์สินมากกว่าชีวิต ชีวิตนี้มีค่ามากกว่าทรัพย์สิน ช่วงนี้ก็ท่องคาถาไว้ง่าย ๆ ไม่หนี ยังไม่มี ยังไม่จ่าย เศรษฐกิจดีเมื่อไหร่ เราก็กลับมาจ่ายกันใหม่ มาสู้กันใหม่ มาทำกันใหม่ แต่ตอนนี้เอาชีวิตให้รอดก่อน ความยากจนก็เป็นกันทั่วโลกเลยเพราะฉันตอนนี้เอาชีวิตให้รอดอย่างเดียว ที่เคยมีอยู่มีทาน ที่เคยใช้ฟุ่มเฟือย ก็ให้ลดการพุ่มเฟือย เคยใช้ของดีมาก ก็ลดดีมากลงมาหน่อย ขอให้เอาชีวิตให้รอดปลอดภัย อันนี้สำคัญที่สุด และเห็นคุณค่าของชีวิต เรารอด 1 วันแล้วก็มีค่า 1 วัน ถ้ารอดได้อาทิตย์หนึ่งก็มีค่าอาทิตย์หนึ่ง ถ้าได้ 1 เดือนก็มีค่า 1 เดือนถ้ารอด 1 ปีก็มีค่า 1 ปี แล้วถ้ารอดปลอดภัยตลอดชีวิต ก็มีค่าตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นอย่าคิดทำร้ายชีวิตดูแลชีวิตนี้ให้ดีที่สุดด้วยหลักธรรม และหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่จะพาให้เรารอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้

วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตโรคระบาด วิกฤตอากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลง วิกฤตการเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลงทั่วโลกเลยนะ ทุกอย่างตอนนี้มันวิกฤตทั้งหมด ถ้าคนที่ขาดหลักธรรมจะจมอยู่ในวิกฤต แต่คนที่มีหลักธรรมอยู่ในใจ ก็จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เริ่มคิดเลยว่าตอนนี้จะทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้ลุกขึ้นมาเลยปลูกผักได้ตอนนี้เลย ลุกขึ้นมาเลย ทำสมุนไพรได้ ตอนนี้ลูกขึ้นมาทำเลย รีบหาอาหารให้ตัวเราเองให้ได้ตอนนี้ลุกขึ้นมาเลย สวดมนต์ไหว้พระรักษาศีลได้ 

เศรษฐกิจไม่ดี เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตมีค่าขึ้นมา เนี่ยยังมีลมหายใจอยากได้สมาทานศีล ชีวิตมีค่าอยู่แล้ว หาอาหารมาดูแลชีวิต อาหารถ้าเราไม่มีเงินก็อย่างที่บอกช่วยกันปลูกทานเอง แล้วก็ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี ให้ทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้เอง เศษอาหาร เศษผัก กิ่งไม้ ใบไม้ ขี้วัว อะไรต่าง ๆ เป็นปุ๋ยอินทรีย์ที่ดีที่สุด หลังจากนั้นถ้าอยากจะให้มั่นใจมากกว่านี้ ก็คือ เรารักษาศีล ก็เหมือนเรามีเสื้อเกราะอยู่ในตัว ถ้าเราสวดพระปริตร มีสมาธิ ก็เหมือนมีโล่ป้องกันอาวุธที่ตกใส่ผ้าเรา มีปัญญาเหมือนมีอาวุธคอยต่อสู้กับเชื้อโรค ศีลเป็นเสื้อเกราะ บทสวดหน้ากากพระปริตรเป็นโล่ปัญญาอาวุธ เพราะฉะนั้น ถ้ามีศีลก็มีเสื้อเกราะ มีปัญญาคืออาวุธก็มี แล้วจะกลัวอะไรล่ะ

ถ้าศึลไม่มีก็ไม่มีเสื้อเกราะ ไม่มีสมาธิ บทสวดพระปริตรก็ไม่มี โล่ก็ไม่มี แล้วปัญญาที่จะใช้เป็นอาวุธก็ไม่มีแล้ว ถ้าเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ เราหมดเลยนะ ถ้าศึลเราก็มีเสื้อเกราะเราก็มี สวมใส่แล้ว แล้วสมาธิบทสวดเราก็มีแล้ว มีปัญญาแล้วก็มีอาวุธแล้ว ถ้าพิจารณาอาวุธ ก็จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ อาวุธที่พุ่งออกไปเรียกว่าขีปนาวุธ ได้แก่ เมตตา แล้วก็อาวุธที่อยู่ในกาย ไม่ได้ปล่อยออกไป ก็คือ ปัญญาวุฒิ คือ หากเกิดปัญหาอะไร เจอปัญหาอะไร แก้ด้วยปัญญาอันนี้คือเป็นปัญญาวุฒิ ส่วนเมตตาวุฒิต้องปล่อยอยู่ตลอดเวลา เราก็จะสามารถอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน เจริญพร


รัตนสูตรในสมัยพุทธกาล

เมืองเวสาลีได้ใช้วิธีการทางโลกจนหมดทุกวิถีทางแล้ว ที่จะต่อสู้กับโรคภัยที่กำลังระบาดทำลายเมือง ก็เหลือวิธีของพุทธเจ้า จึงได้นิมนต์พระองค์มาโปรด พระองค์ทรงรับ แล้วทรงสอนรัตนสูตรให้พระอานนท์ พระอานนท์ก็นำเอารัตนสูตรเนี่ยไปสวด ไปสาธยายก่อน ในขณะที่พระอานนท์นำรัตนสูตรไปสวดไปศาธยายเนี่ย เนื้อหาของรัตนสูตรตั้งแต่ ยานีธะภูตานิสะมาคะตานิภุมมานิวายานิวะอันตะลิกเข เป็นต้น ก่อนที่พระอานนท์จะสวด ก็ระลึกถึงคุณของพุทธเจ้า ทีนี้ตรงลักษณะการระลึกถึงคุณ ก็เขียนเป็นบทขัด หรือบทสวด “ระตะนะสุตตัง” คือ ระลึกถึงคุณของพุทธเจ้า ตั้งแต่ตั้งแต่เริ่มสร้างบารมี จนกระทั่งบารมีเต็มแล้ว ก็มีมหาบริจาค 5 ประการ การบริจาคที่ยิ่งใหญ่ 5 ประการของพระพุทธเจ้า แล้วก็ระลึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ของพุทธเจ้า ระลึกถึงทั้งหมด หรือที่หยิบยกบทสวด อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสามระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ 

นั่นแหละพอนึกถึงคุณของพระเจ้าเสร็จแล้ว ท่านก็ตั้งเมตตาจิต มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีพระวิหารทั้ง 4 ต่อสรรพสัตว์ แล้วท่านก็น้อมนำเอารัตนสูตรบมาสวด แต่การสวดของท่านเนี่ย เนื้อหาของรัตนสูตรก็บอกว่า “เทวดาทั้งหลายที่มาสิงสถิตอยู่ณบริเวณที่นี้จะเป็น ภุมมเทวดาก็ดี รุกขเทวดาก็มีอากาศเทวดาก็ดี เทวดาทั้งหลาย  มนุษย์เหล่านี้ได้ทำดีต่อท่าน ทั้งกลางวันและกลางคืน มนุษย์รักษาศีลมนุษย์ดูแลสิ่งแวดล้อม แล้วก็แบ่งบุญให้เทวดา การแบ่งบุญให้เทวดา ทำทานกุศลอะไรก็ตามแล้วก็แบ่งบุญให้เทวดา ภาวนากุศลก็แบ่งบุญให้เทวดา นอกจากมีเครื่องเซ่นสรวงเทวดาแล้ว ก็ยังแบ่งบุญให้เทวดาอีก สุดท้ายมนุษย์ทำอะไรกับท่าน มนุษย์นำเอาธัมมปฏิสันถาร ก็คือ นำพระสูตรมาให้ท่านสดับรับฟัง พระสูตรที่เทวดาได้สดับรับฟัง ก็เป็นการทำพลีกรรมให้กับเทวดาด้วยธรรมะ มีเครื่องเล่น เครื่องเสียง ก็ดี ทำที่สะอาดก็ดี แบ่งบุญให้ก็ดี ตรงนี้พุทธองค์ตรัสว่าอย่าลืมมนุษย์ ที่ทำดีต่อท่าน ทั้งกลางวันและกลางคืน ช่วยดูแลรักษามนุษย์ด้วย” 

หลังจากนั้นพระองค์ตรัสอย่างนี้แล้ว เทวดาก็ได้ฟังรัตนสูตร ซึ่งเนื้อหาพูดถึง พุทธรัตนะคืออะไร ธรรมรัตนะคืออะไร สังฆรัตนะคืออะไร รัตนะคือสิ่งที่มีค่า สิ่งที่มีค่าทางโลก คือ รัตนนัยมนุษย์ ก็เรียกว่าเพชรนิลจินดา ส่วนรัตนะที่มีค่าในบาดาล คือของพญานาคกับเพชรพญานาค ต่าง ๆ ที่มีมูลค่า และรัตนะที่มีค่าบนสวรรค์ของพระอินทร์ รัตนะที่มีค่าเหล่านี้ทั้งหมด เราเห็นแล้วก็อยากได้ แต่ถ้ามาเทียบกับ พุทธรัตนะธรรมรัตนะ สังฆรัตนะแล้วเทียบกันไม่ติดเลย เพราะรัตนะเหล่านั้นจะทำให้เราปลื้มใจได้แค่เพียงชาติเดียว ส่วนพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะทำให้เราเกิดปลื้มปีติ 5 ระดับ คือ ขุททกาปีติ, ขณิกาปีติ, โอกกันติกาปีติ, อุพเพตาปีติ, ผรณาปีติ [https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=226 ] ปีติทั้ง 5 ชนิด จะเกิดขึ้นภายในพบกับพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ 

ส่วนรัตนะทางโลกจะเป็นรัตนะในมนุษย์ ในนาคพิภพ และบนสวรรค์ ก็จะทำให้เกิดได้เพียง ขุททกาปีติ คือ จะเกิดปีติอย่างแรงกล้า เหมือนกับเข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะก็ไม่ได้ อันนี้ ก็คือ ข้อแตกต่าง นี่คือความสัจจริงนี้ ขอความปลอดภัย คือ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย จงมีแก่ท่านซึ่งตรงนี้ ก็เป็น สัจจะวาจาในรัตนสูตร นำเอาคุณของมนุษย์ที่ทำดีกับเทวดา และให้เทวดาช่วยส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งก็พูดถึงระหว่างรัตนะทางโลก รัตนะทางพระศาสนาว่าเอาสองอย่างมาเทียบกันแล้ว เทียบกันไม่ติด และอันนี้เป็นความจริงด้วยการกล่าวสัจจะความจริงนี้ ขอให้ทุกคนจงมีความสวัสดี คือ ปราศจากทุกข์โศกโรคภัยอันนี้ก็เป็นพลังของสัจจะ และก็พลังของธรรมะ แล้วก็พลังของเทวดา พลังของมนุษย์ คือ ทำดีรักษาศีลทำดีกับเทวดาด้วย นี้เป็นความดีของสัจจะวาจา พลังเหล่านี้ทั้งหมดมารวมกัน และพระอานนท์ท่านสวดถูกอักขระ แปลได้เข้าใจความหมาย มีเมตตาอันบริสุทธิ์ ท่านสวดเพียงองค์เดียวแต่มีผล ในขณะที่พระอานนท์รู้ว่าเทวดาก็มาฟังด้วย และมากันมากกว่าพวก อมนุษย์ มากกว่าพวกยักษ์ ต่างก็พากันหนีออกไป 

โรคที่ระบาด ก็เริ่มหยุด ๆ สิ่งดี ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น หลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาห่าใหญ่ ชำระเมืองให้สะอาด ชำระเมืองสะอาดโรคที่เคยระบาดอยู่ก็หยุดระบาด แต่ช่วงที่พระอานนท์สวดเนี่ย ก็ทำให้โรคภัยหาย ครั้นเมื่อพุทธเจ้าเสด็จมาถึง พระพุทธเจ้าก็แสดงรัตนสูตรอีกรอบหนึ่ง นอกจากโรคภัยหายแล้ว ผู้คนที่ได้ฟังก็บรรลุธรรมวันละ 84,000 คน ซึ่งเหตุการณ์นี้ ในช่วงแรกเนี่ยรัตนสูตรทำให้โรคภัยหาย ส่วนช่วงที่ 2 ทำให้คนได้บรรลุ พระพุทธองค์แสดงรัตนสูตรอยู่ถึง 7 วัน อันนี้คือความสามารถหรือพลังของรัตนสูตร


อานิสงส์ของการ สวดรัตนสูตร

เพราะฉะนั้นเมื่อฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ก็น้อมจิตไปได้ นอกจากโรคภัยจะหายแล้ว ก็ยังได้ดวงตาเห็นธรรม เห็นเลยว่า โรคในภายในคือกิเลส ก็ระงับดับหายได้ด้วย ดังนั้นพลังของรัตนสูตร ปกติเราสวดกันเพื่อเอาบุญ แต่เราไม่เคยคิดว่าจะสวดหวังผลให้เกิดขึ้นด้วย เพราะเราไม่รู้วิธีการสวด ตอนนี้อาตมาก็สอนแปลสอนคำอธิบาย สอนวิธีการสวด วิธีการวางจิต เข้าใจความหมายเข้าใจคำแปล วิธีการวางจิตเข้าใจหมด แล้วเวลาสวดออกไปมันก็จะมีพลัง ลองตั้งใจสวดบทแรก (พระอาจารย์ประนอม สวดให้ฟังเป็นตัวอย่าง) ยานีธะภูตานิสะมาคะตานิภุมมานิวายา……. อันนี้ก็คือวิธีการสวดเริ่มต้น เน้นสวดให้ถูกอักขระ แล้วในขณะที่สวดไปเนี่ย ก็ต้องรู้เนื้อหาและความหมายไปด้วย คือ เทวดาทั้งหลายที่มาสิงสถิตอยู่ ณ ที่นี้ มาอยู่ที่นี่แล้ว อย่างไรก็ช่วยเหลือมนุษย์ด้วย อันนี้ คือ เนื้อหาของรัตนสูตร เพราะฉะนั้นถ้าเราเข้าใจเนื้อหากระจ่างชัดแล้วก็สวดไป น้อมจิตไป สวดไป น้อมจิตไป อักขระก็ได้เ มตตาจิตก็เกิด พลังที่มันจะเกิดมันก็เกิดขึ้นได้ด้วยเพราะรายละเอียดเหล่านี้ 


ฝึกสวดรัตนสูตรด้วยตนเอง

ฝากเชิญชวนญาติโยมสาธุชนทุกท่าน ฝึกสวด ถ้าหากสวดไม่เป็น อาตมาใส่เสียงสวดฝากไว้ใน YouTube ค้นหาในมหาราชปริตร เปิดช่วงที่กำลังสวดรัตนสูตร ฟังไป เปิดทิ้งไว้ที่บ้าน เปิดทั้งวันทั้งคืนเราก็ยังได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างก็ยังดี สักเดือนนึงเราก็จะคุ้นชิน แล้วก็สวดตาม หากถามว่าฝึกสวดนานไหมถึงได้พลังนี้ ก็ใช้เวลา 2 เดือนครึ่ง เมื่อสวดได้ แปลได้ด้วยมันก็มีพลัง ที่เกิดจากจิตเราสงบ แล้วน้อมจิตเราเข้าไปในทุกคนที่ฟังอยู่ด้วย อันนี้ก็คือพลังของผู้สวดเอง พลังของเสียงที่เปล่งออกไป พลังของผู้ที่รับ พลังของเทวดา และพลังของสัจจะวาจา ซึ่งพลังเหล่านี้ทั้งหมดมารวมกันแล้วเนี่ยเราจะเห็นเลยว่ามันมีพลังจริง ๆ 

หากสงสัยว่าจะทํายังไงให้จิตเป็นเมตตาก่อน ก็ให้ลองสวดเมตตสูตรก่อน แล้วจะได้อานิสงส์ 11 ประการหลับก็หลับเป็นสุข ตื่นก็ตื่นเป็นสุข ไม่ฝันร้าย สีหน้าผ่องใส อาวุธ ศัตรู ยาพิษ ไฟ ทำอันตรายไม่ได้ ไม่หลงตาย แล้วก็ถ้าตายแล้วก็ไปเกิดบนพรหมโลก เมื่อสวดได้แล้ว ก็ให้ลองใส่ทำนองตามฉันทลักษณ์ (ในช่วงท่อนนี้ พระอาจารย์ประนอม สวดให้ฟังเป็นตัวอย่าง)

เพราะฉะนั้นถ้าเราสวดเมตตาอย่างนี้ถ้าเราไม่ได้ถึงฌาน  เราสวดอยากเห็นผลเลยทีเดียว สวดเมตตาเนี่ยเอาเห็นผลเลย ถ้าเป็นชาวบ้าน ๆ ฝึก ก็ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนครึ่ง เราจะเริ่มรู้สึกเกลียดความทุกข์ รักความสุข และเราจะไม่คิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จิตใจเราจะสงบเยือกเย็น ความโกรธก็จะลดลงลดลง จนกระทั่งความโกรธาจากลงเหมือนไม่มีความโกรธ เพราะมีเมตตาเต็มเปี่ยม 

อันนี้อาตมาก็จะได้ทดลองให้คุณโยมสวดธรรมจักรให้คุณแม่ป่วยติดเตียง 1 จบ ก็ให้คุณแม่บูชาใส่บาตรไว้ 1 บาท สวดไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ 4-5 เดือน ให้หลัง พบว่าเขาใส่บาตรบูชาธรรมจักร รวม 2,800 บาท เขาเองก็ไม่คิดว่าจะสวดได้ ไม่คิดไม่ฝันว่าในชีวิตจะสวดได้ขนาดนี้  2 เดือนครึ่งเนี่ยเราสวดได้คล่องแปลได้ด้วย เมตตามันก็เกิดขึ้นจริง ๆ


พระคาถา รัตนสูตร

  • ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานี ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ อะโถปิ สักกัจะ สุณันตุ ภาสิตัง ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ เมตตัง กะโรถะ มานสียา ปะชายะ ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา ฯ
  • ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา สัคเคส วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง นะ ใน สะมัง อัตติ ตะถาคะเตนะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง สะมาธิมานันตะริกัญญะมาตุ สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ต่อ

  • เย ปคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย ตะกูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ
  • เย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ สีลัพพะตัง วาปี ยะทัตถิ กิญจิ จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

ต่อ

  • กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะตัง กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค คิมหานะมาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
  • ยานธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
    ยานธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
    ยานธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข เตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

บทส่งท้าย

สุดท้ายนี้ เชิญชวนคนรักษาศีล ให้ดูแลความสะอาด กินร้อนช้อนกลาง ล้างมือ อยู่ห่าง ๆ กัน ใส่หน้ากากอนามัย แล้วก็รักษาศีล สวดพระปริตรให้ครบ เราก็จะรู้สึกปลอดภัยขึ้น บ้านเราก็สะอาดขึ้น ล้างมือบ่อย ๆ ล้างหน้าบ่อย ๆ ล้างตัวบ่อย ๆ สุดท้ายได้เข้าถึงวิปัสสนากรรมฐานเมื่อไหร่เนี่ย สะอาดสุด ๆ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้อยากจะฝากญาติโยมสาธุชน ว่า สู้เถิด อาตมาจะนำสู้กับ covid นำสู้กับเศรษฐกิจที่กำลังตกน้ำ สู้กับภัยพิบัติที่กำลังเกิดขึ้น สู้ด้วยความดี คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะสิ่งเลวร้ายทั้งหมดเนี่ยต้องเอาของดี ๆ เข้าไปสู้ จะเอาของที่ไม่ดีไปสู้ไม่ได้ ของร้ายต้องสู้ด้วยของดี จะร้ายมายังไงเราก็ดีตอบ ตอบโต้ด้วยความดี ดีด้วยสมาธิ คือ บทสวดดี ด้วยปัญญาแก้ปัญหานั่นแหละคือทางรอดของชีวิต ทางรอดของมวลมนุษยชาติ ถ้าเราไม่เอาดีไปแก้ร้ายก็มีแต่จะซ้ำร้าย มีแต่ซ้ำเติม เพราะฉะนั้นเอาดีไปแก้ร้าย จะร้ายมา น้ำมันสกปรกก็เอาน้ำสะอาดไปล้าง ไล่น้ำเสีย น้ำมันเน่าก็เอาน้ำดีไล่ไป ชำระสิ่งปฏิกูลทั้งหมดได้เจริญพร 


  • สัมภาษณ์ โดย: ณัฐวุฒิ วัชรพินธุ์ บรรณาธิการ น.ส.พ.ธรรมนำโลก

คาถาบาลี ช่วยปัดเป่าโรค โควิด-๑๙ ให้พ้นไป

รตนตฺตยานุภาเวน        สพฺพเทวาน​ เตชสา
อุปฺปนฺโน​ โควิโต โรโค   สฺยามรฏฺเฐ วินฺสสตุ
ราชปุญฺญานุภาเวน       ทสปารมิตาหิ จ
อาโรคิยสุขญฺเจว        สทา โสตฺถิ ภวฺนตุเต​ ฯ

ความหมาย

โรคโควิดที่เกิดขึ้นในแว่นแคว้นสยามจงพินาศไป ด้วยอานุภาพ​แห่งพระรัตนตรัย และด้วยเดชแห่งเหล่าเทวดาทั้งปวง ขอความไม่มีโรค​ ความสุข และความ​สวัสดี จงมีแก่ท่าน ด้วยพระบุญญานุภาพ และทศบารมีของพระราชา


โพสที่เกี่ยวข้องกับ รัตนสูตร:

ทางรอดในสถานการณ์ โควิด-19 ระบาด